วิถีไทย หมายถึง แนวทางการดำเนินชีวิตของคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย วิถีไทย จึงเป็นแหล่งรวมความรู้เรื่องสังคม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ภูมิปัญญาของคนไทย การประพฤติ ปฏิบัติ การศึกษาอบรม และการสืบทอดวัฒนธรรมจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
เรื่องดำเนินไปด้วยการกล่าวคำนำเล่าเรื่องเป็นทำนองเรียกว่า “พากย์” อย่างหนึ่ง กับเจรจาเป็นทำนองอย่างหนึ่ง บทพากย์เป็นกาพย์ยานี และกาพย์ฉบัง การพูดของตัวโขนไม่ว่าจะเป็นทำนองพากย์ ทำนองเจรจา หรือพูดอย่างสามัญชน มีผู้พูดแทนให้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวที่สวมหน้าหรือไม่สวมหน้า ผู้พูดแทนตัวโขนนี้เรียกว่า “คนเจรจา” เครื่องแต่งตัว เป็นแบบเดียวกับละครใน นอกจากบางตัวสวมหัวโขนตามเนื้อเรื่อง เสื้อของตัวพระและตัวยักษ์สมัยโบราณมักมี 2 สี คือเป็นเสื้อกั๊กสีหนึ่ง กับแขนสีหนึ่ง นัยว่าเสื้อกั๊กนั้นแทนเกราะ ส่วนลิง ตัวเสื้อและแขนลายวงทักษิณาวรรต สมมติเป็นขนของลิงหรือหมี ตัวยักษ์จะต้องมีห้อยก้นเป็นผ้าปักผืนสั้น ๆ ปิดชายกระเบน เรื่องที่แสดงโขนของไทยเราแสดงแต่เรื่องรามเกียรติ์เรื่องเดียว วิธีการแสดงโขนมีหลายชนิด แตกต่างกันด้วยวิธีการแสดง ดังจะอธิบายไปตามลำดับ ดังนี้ โขนกลางแปลง โขนกลางแปลง เป็นโขนที่แสดงกับพื้นดินที่เป็นลานกว้างใหญ่ สมมติพื้นที่นั้นเป็นกรุงลงกาด้านหนึ่ง เป็นพลับพลาพระรามด้านหนึ่ง ด้านกรุงลงกาสร้างเป็นปราสาทราชวัง มีกำแพงจำลองด้วยไม้และกระดาษ ด้านพลับพลาก็สร้างพลับพลามีรั้วเป็นค่ายจำลองเช่นเดียวกัน ปลูกร้านสูงประมาณ 2 เมตร ตั้งวงปี่พาทย์ด้านละวง คนเจรจามีด้านละ 2 คนเป็นอย่างน้อย วงปี่พาทย์บรรเลงประกอบกับการแสดงด้านที่วงประจำอยู่ แต่ถ้าเป็นส่วนกลาง เช่น การรบกันกลางสนามหรืออื่น ๆ ก็แล้วแต่วงไหนอยู่ใกล้ก็เป็นผู้บรรเลง โขนกลางแปลงมีแต่พากย์กับเจรจาเท่านั้น โขนนั่งราว โขนนั่งราว เป็นการแสดงบนโรง เลียนแบบโขนกลางแปลง คือ ปลูกโรงสูงพอตาคนยืนดู ปูกระดานพื้นเป็นรูปสี่เหลียมผืนผ้า ฉากแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนกลางยาวประมาณ 10 เมตร ทำภาพนูน เขียนสีเป็นป่าเขา ส่วนนอกด้านขวา (ของโรง) ยาวประมาณ 3 เมตร ทำภาพนูนเขียนสีเป็นรูปพลับพลาและรั้ว สมมติเป็นพลับพลาพระราม ส่วนนอกด้านซ้ายยาวประมาณ 3 เมตร ทำภาพนูนเขียนสีเป็นปราสาทราชวังมีกำแพง สมมติเป็นกรุงลงกา มีประตูเข้าออก 2 ประตู อยู่คั่นระหว่างฉากส่วนกลางกับส่วนนอกข้างละประตู ตรงหน้าฉากออกมา ห่างฉากประมาณ 1.5 เมตร ทำราวไม้กระบอก มีเสารับสูงประมาณ 60 เซนติเมตร ยาวเสมอขอบประตูข้างหนึ่งมาถึงขอบประตูอีกข้างหนึ่ง หัวท้ายของโรงทั้ง 2 ข้าง ปลูกร้านให้สูงกว่าพื้นโรงประมาณ 1 เมตร ตั้งวงปี่พาทย์ข้างละวง วิธีแสดง ราวไม้กระบอกที่อยู่หน้าฉากนั้นเป็นที่สำหรับนั่ง วิธีนั่งถ้าหันหน้าไปทางขวาหรือซ้ายก็เอาเท้าข้างนั้นพับนั่งบนราว อีกเท้าหนึ่งห้อยลงเหยียบพื้นโรง ฝ่ายพระรามจะนั่งค่อนมาข้างขวา พระราม (ตัวประธานฝ่ายมนุษย์) นั่งสุดราวด้านขวา หันหน้าไปทางซ้าย บริวารทั้งหมดนั่งบนราวตามลำดับเรียงไป หันหน้ามาทางขวา และฝ่ายลงกา (ฝ่ายยักษ์) ตัวประธานนั่งสุดราวด้านซ้าย หันหน้ามาทางขวา บริวารทั้งหมดนั่งหันหน้ามาทางซ้าย ส่วนการแสดงในตอนที่ไม่นั่ง ก็แสดงได้ทั่วพื้นโรง ดำเนินเรื่องด้วยพากย์กับเจรจาเท่านั้น เหมือนโขนกลางแปลงท่ารำ เป็นท่ารำที่ครบถ้วนตามแบบแผนศิลปะการรำ ทำบทตามถ้อยคำและรำหน้าพาทย์ตามเพลงปี่พาทย์ วิธีบรรเลงปี่พาทย์ ทั้ง 2 วงจะผลัดกันบรรเลงวงละเพลง ตั้งแต่โหมโรงเป็นต้นไปจนจบการแสดง โขนโรงใน โขนโรงใน คือโขนผสมกับละครใน สถานที่แสดงเป็นโรงอย่างโรงละครใน มีฉากเป็นม่านผืนเดียว มีประตูออก 2 ข้าง แต่เตียงสำหรับนั่งมี 2 เตียง ตั้งขวางใกล้กับประตูข้างละเตียง มีปี่พาทย์ 2 วง อาจตั้งตรงหลังเตียงออกไป หรือกระเถิบมาทางโรงนิดหน่อยแล้วแต่สถานที่จะอำนวย ดำเนินเรื่องด้วยบทพากย์ บทเจรจา และบทร้อง มีทั้งคนพากย์ คนเจรจา ต้นเสียง ลูกคู่ และคนบอกบท (ร้อง) วิธีแสดง เริ่มต้นอย่างละครใน คือตัวเอกออกนั่งเตียง แล้วร้องหรือพากย์ดำเนินเรื่อง การแสดงต่อไปก็แล้วแต่ว่าตอนใดจะแสดงแบบโขนตอนใด จะแสดงแบบละคร เช่น ปี่พาทย์ท่าเพลงวา พลลิงออกมานั่งตามที่พระรามพระลักษณมณ์ ออกมานั่งเตียง ต้นเสียงร้องเพลงช้าปี่ใน ส่งเพลง 1 เพลง ร้องร่าย และปี่พาทย์บรรเลงเพลงเสมอ ท้ายเพลงเสมอตัวโขนเข้าโรงหมด ปี่พาทย์ทำเพลงกราวนอกโขนลิงออก แล้วสิบแปดมงกุฎและพญาวานรออก พระลักษมณ์ พระรามออก รำกราวนอก เสร็จแล้ว พากย์ชมรถ และปี่พาทย์บรรเลงเพลงเชิด ฯลฯอุปกรณ์สำคัญในการแสดงโขน ซึ่งต่างจากการแสดงละครก็คือราชรถมีตัวม้าหรือราชสีห์เทียม และกลด มีผู้ถือกางให้ตัวเอก เข้าใจว่าการที่โขนในสมัยหลัง ๆ มาจนปัจจุบัน ตัวพระและตัวเทวดาไม่สวมหัวโขนคงจะเริ่มมาตั้งแต่โขนมาร่วมผสมกับละครในเป็นโขนโรงในนี้เอง โขนหน้าจอ โขนหน้าจอ วิธีการแสดง ทุก ๆ อย่างเหมือนโขนโรงในทุกประการ ผิดกันแต่สถานที่แสดงเท่านั้น เป็นโรงที่มีลักษณะต่างกัน โรงของโขนหน้าจอ ก็คือโรงหนังใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงให้สะดวกแก่การแสดงโขนเท่านั้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจากโรงหนังใหญ่ก็คือ มีประตูเข้าออก 2 ประตู ใต้จอตอนกลางมีมู่ลี่หรือลูกกรงถี่ ๆ เพื่อให้คนร้องซึ่งนั่งอยู่ภายในมองเห็นตัวโขน จอตอนนอกประตูทั้ง 2 ข้างเขียนภาพ ข้างขวาเขียนภาพพลับพลาพระราม ข้างซ้ายเขียนภาพปราสาทราชวัง สมมติเป็นกรุงลงกา ตั้งเตียงห่างจากประตูออกมาพอสมควร 2 เตียง ข้างละเตียง วงปี่พาทย์สมัยก่อนตั้งด้านหน้าของที่แสดง สมัยปัจจุบันยกไปตั้งหลังจอตรงหลังคนร้องโขนทุกประเภท ตั้งแต่โขนกลางแปลงมาจนถึงโขนหน้าจอ มีเครื่องดนตรีพิเศษอย่างหนึ่งประกอบ คือ “โกร่ง” เป็นไม้ไผ่ลำโตยาวประมาณ 3-4 เมตร มีเท้ารองหัวท้ายสูงประมาณ 8 เซนติเมตร วางกับพื้น ผู้ที่นั่งเรียงกันประมาณ 4-5 คน ถือไม้กรับทั้งสองมือตีตามจังหวะ ใช้เฉพาะเพลงที่ต้องการความครึกครื้น เช่น เพลงกราวนอก กราวใน เชิด ตั้งอยู่หลังฉากหรือจอ พวกแสดงโขนที่มิได้แสดงเป็นผู้ตี โขนฉาก โขนฉาก มีลักษณะดังนี้ คือ โขนฉากแสดงบนเวที เปลี่ยนฉากตามเนื้อเรื่อง เช่นเดียวกับละครดึกดำบรรพ์ วิธีการแสดงเหมือนโขนโรงในทุกประการ นอกจากแบ่งเนื้อเรื่องให้เป็นตอนเข้ากับฉากเท่านั้น ถ้าสถานที่แสดงมีที่แสดงที่หน้าม่านได้ เวลาปิดม่านก็อาจมีการแสดงหน้าม่าน เพื่อเชื่อมเนื้อเรื่องให้ติดต่อกันก็ได้ ปราสาทเมืองต่ำ ตั้งอยู่ที่บ้านโคกเมือง หมู่ 6 และ หมู่ 9 ตำบลจระเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทเมืองต่ำเป็นประสาทอิฐ กำแพงแก้วและซุ้มประตูทำด้วย หินทราย ส่วนกำแพงด้านนอกทำด้วยศิลาแลง เนินปราสาทเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีสระน้ำล้อมรอบ ความเด่นของปราสาทเมืองต่ำ คือ มีการจำหลักส่วนต่าง ๆ ด้วยลวดลายอันประณีตสวยงาม อยู่ใกล้กับโบราณสถานที่สำคัญหลายอย่าง เช่น สระน้ำขนาดใหญ่ที่คนขุดขึ้นในสมัยสร้างปราสาท ซึ่งมีขนาดกว้างประมาณ 510 เมตร ยาวประมาณ 1090 เมตร ขอบสระกรุด้วยศิลาแลงสอบลงไปถึงพื้นดินเดิม สระนี้มีน้ำขังอยู่ตลอดปี (บริษัทสุรามหาราช จำกัด 2540:229-231) ที่เรียกชื่อว่า ปราสาทเมืองต่ำ เนื่องจากสถานที่ตั้งอยู่พื้นที่ราบ เมื่อเทียบกับปราสาทเขาพนมรุ้งซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา ปราสาทเมืองต่ำ เป็นศาสนาสถาน ศิลปะขอมแบบบาปวน อายุประมาณ พ.ศ. 1551-1630 หรือราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 (กรมศิลปากร 2536:127-130) ลักษณะของปราสาทมีองค์ประกอบ ดังนี้ 1. ปรางก่ออิฐ 5 องค์ เรียงเป็น 2 แถว แถวหน้า 3 องค์ แถวหลัง 2 องค์ ตั้งอยู่บนฐานชั้นเดียว แผนผังของปรางค์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ตัวปรางค์ก่อด้วยอิฐขัดเรียบ แถวหน้า
แถวหลัง
2. ระเบียงคดและซุ้มประตู ก่อด้วยอิฐ มีขนาด ประมาณ 38.60X38.60 เมตร มีซุ้มประตูทั้ง 4 ด้าน ก่อด้วยหินทราย ระเบียงคดนี้ลักษณะเป็นห้องแบบระเบียงคดทั่วไป หลังคาเป็นหินทรายทำเป็นรูปประทุนเรือ มีประตู 3 ด้านพื้นของซุ้มประตูยกสูงขึ้นจากพื้นลานโดยรอบ ประตูกลางซึ่งเป็นประตูหลักมีขนาดประมาณ 2.10X1.15 เมตร ด้านข้างของซุ้มประตูทำเป็นช่องหน้าต่างทึบด้านละ 2 ช่อง ด้านนอกติดลูกกรงลูกมะหวด ที่หน้าบันซุ้มประตูด้านทิศตะวันออกด้านนอกจำหลักภาพเทวะนั่งชันเข่า อยู่เหนือเศียรเกียรติมุข เหนือขึ้นไปเป็นนาค 5 เศียรครอบ 2 ชั้น ทั้ง 2 ข้าง ทับหลังหินทรายจำหลักภาพเกียรติมุขคายท่อนพวงมาลัยออกมาทั้ง 2 ข้าง เสากรอบประตูกลางจำหลักภาพสิงห์ยืนเท้าสะเอวจับพุ่มกนกและโคนเสาเป็นภาพฤาษีนั่งยอง ๆ ประนมมือ ที่หน้าบันซุ้มประตูด้านทิศตะวันออกด้านในจำหลักภาพสิงห์ท่ามกลาง ลิง และช้าง ประดับด้วยลวดลายพันธุ์พฤกษา ทับหลังนปราบ จำหลักภาพพระกฤษณะตอนาคกาลีย 3. สระน้ำ ตั้งอยู่ที่ลานขนาด 10X10 เมตร รอบนอกระเบียบคดทั้ง 4 ด้าน สระน้ำทั้ง 4 สระนี้มีขนาดประมาณ 20X40 เมตร กรุพื้นสระด้วยหินทรายซ้อนเป็นชั้น ๆ ปากผายก้นสอบ ที่มุมขอบสระทุกมุมทำเป็นตัวพญานาคชูคอ สองข้างบาทวิถี ระหว่างซุ้มประตูระเบียงคดกับซุ้มประตูกำแพงทุกด้านมีบันไดลงสู่สระน้ำอยู่ทั้งสองข้างทาง เหนือบันไดทำเป็นเสาซุ้มประตูทั้งสองข้างปัจจุบันล้มลงทั้งหมด 4. กำแพงแก้วและซุ้มประตู ตั้งอยู่รอบนอกห่างจากสระน้ำประมาณ 10 เมตร กำแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลงเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 140X114.50 เมตร บนสันกำแพงเซาะเป็นรางตื้น ๆ สำหรับวางท่อหินสี่เหลี่ยมสี่ด้านทำเป็นซุ้มประตูจตุรมุข มีประตูด้านละ 3 ช่องมุงหลังคาด้วยหินทรายโค้งเป็นรูปประทุนเรือ ทับหลังหินทรายเหนือประตูของซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก จำหลักภาพพระกฤษณะปราบนาคกาลียะที่ซุ้มประตูด้านทิศตะวันตกมีร่องรอยแสดงว่ายังตกแต่งลวดลายไม่เสร็จ ระหว่างประตูทั้ง 3 ช่อง เป็นหน้าต่างหลอกติดลูกกรงลูกมะหวดเลียบกำแพงศิลาแลง มีทางเท้าปูด้วยก้อนศิลาแลง ขนาดกว้าง 1 เมตรรอบทุกด้าน ทะเลเมืองต่ำ ทะเลเมืองต่ำ หรือสระบารายที่บ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มาก เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่ขุดขึ้นมาในสมัยที่สร้างปราสาท อยู่ห่างจากตัวปราสาทเมืองต่ำไปทางทิศเหนือราว 200 เมตร สร้างขึ้นเพื่อการอุปโภค การชลประทานของชุมชน มีขนาดกว้างประมาณ 510 เมตร ยาวประมาณ 1,090 เมตร ลึกประมาณ 3 เมตร ก่อขอบสระด้วยศิลาแลง 3 ชั้น บนขอบสระด้านยาว คือ ด้านทิศเหนือและทิศใต้มีท่าน้ำเป็นชานกว้าง ขนาดกว้างประมาณ 6.90 เมตร ยาว 17 เมตร ปูพื้นด้วยศิลาแลงลาดลงไปยังฝั่งน้ำ ซึ่งก่อบันไดท่าน้ำเป็นทางลงสระรวม 5 ขั้น ท่าน้ำทั้ง 2 ฟากนี้อยู่ในแนวตรงกันประมาณกึ่งกลางของขอบสระ (กรมศิลปากร 2540:70) บางรายแห่งนี้น่าจะมีทางรับน้ำด้านทิศตะวันตกจากเขาปลายนัด (ไปรนัด) และเขาพนมรุ้ง ตรงบริเวณที่เรียกว่า สะพานขอม และระบายน้ำออกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกเฉียงใต้ ความโดดเด่นของปราสาทเมืองต่ำ นอกจากจะได้ชมสถาปัตยกรรมและศิลปะที่สวยงามของโบราณสถานแห่งนี้แล้ว ยังได้ชมหมู่บ้านที่ตั้งเรียงรายเป็นกลุ่มอยู่กับปราสาทนี้ด้วย ชาวบ้านอยู่ที่นี่มานานจนมีความรู้สึกว่าปราสาทคือส่วนหนึ่งของชุมชน การดำเนินชีวิตของชาวบ้านโคกเมืองสัมพันธ์กับความงามของปราสาท กลายเป็นความสงบร่มเย็นน่าสนใจไม่น้อย การเดินทางไปปราสาทเมืองต่ำ ไปได้หลายทาง ส่วนใหญ่ใช้เส้นทางบุรีรัมย์-นางรอง-พนมรุ้ง เข้าไปปราสาทเมืองต่ำระยะทางแยกเข้าไปประมาณ 83 กิโลเมตร หรือจะไปเส้นทางบุรีรัมย์-ประโคนชัย เข้าประสาทเมืองต่ำ ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร อีกเส้นทางหนึ่งคือ สายประโคนชัย-บ้านกรวด ซึ่งเป็นเส้นแยกสายตะโก-พนมรุ้ง-ละหานทรายก็ได้ |
วิชาประวัติศาสตร์ไทย3
บทที่3 วิถีไทย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)